เทศน์พระ

สิ้นท่า

๒๑ ธ.ค. ๒๕๕๗

 

สิ้นท่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราตั้งใจฟังธรรมะ เรายังเป็นคนเป็น ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ คนที่ยังเป็นอยู่เห็นไหม ยังไม่ตาย คนตายเห็นไหม คนตายหมดโอกาส คนตายหมดลมหายใจ แต่ยังเป็นอยู่เห็นไหม เป็นอยู่ฟังธรรม ฟังธรรมให้หัวใจมันตื่นเต้น หัวใจมันตื่นตัวไม่ให้มันนอนจม นอนจมไง หงอยเหงาเศร้าสร้อย แล้วมันก็จมปลักอยู่อย่างนั้น

จิตใจของเราๆ จะปล่อยให้จมปลักอยู่อย่างนั้นไม่ได้ วันคืนล่วงไปๆ เวลาวันคืนทุกวันมันก็พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกเหมือนกัน เพียงแต่ฤดูกาลมันเปลี่ยนไป กลางวันสั้น กลางคืนยาว กลางคืนสั้น กลางวันยาว มันเปลี่ยนฤดูกาลเท่านั้นเอง แต่นี่ตะวันมันก็ขึ้น นี่มืดสว่างอยู่อย่างนี้ เห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ

เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังจะตื่นตัวของเรา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราไม่ใช่คนสิ้นท่า เวลาคนสิ้นท่าเห็นไหม นี่คนสิ้นท่าสิ้นไร้ไม้ตอก เขาหงอยเขาเหงาของเขา คนไม่มีความหวัง คนไม่มีความหวังเห็นไหม เราต้องปลุกปลอบหัวใจนั้นให้มันมีความหวังขึ้นมา ถ้ามันมีความหวังขึ้นมามีสามัญสำนึกขึ้นมา คนมันก็เป็นคนขึ้นมา

คนดูสิมีกำลังใจ ขวัญกำลังใจของกองทัพ เวลากองทัพที่มีขวัญกำลังใจเขาสู้ข้าศึกได้ทั้งนั้น ข้าศึกจะโจมตีขนาดไหนเขามีขวัญมีกำลังใจของเขา เขาสามารถนำทัพนั้นเพื่อเผชิญกับข้าศึกนั้น เพื่อรักษาตัวรอดได้ด้วย เพื่อรักษาสิ่งที่ตัวเองสงวนรักษาไว้ด้วย เห็นไหม เพราะขวัญกำลังใจไง ไม่ใช่คนสิ้นท่า คนสิ้นท่ามันยอมจำนนไง

กองทัพจะใหญ่โตขนาดไหนก็แล้วแต่ไม่มีขวัญกำลังใจ รบไปเหลียวหลังไป รบไปๆ รบไปมีแต่คิดแต่จะยอมแพ้ยังไง รบไปมีแต่ยอมจำนนไป กองทัพนั้นมันจะสู้ใครได้ กองทัพนั้นมันก็มีแต่ความย่อยยับทั้งนั้น มีความย่อยยับแล้วย่อยยับรักษาสิ่งใดได้ล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ฟังธรรมๆ เพื่อปลุกหัวใจนี้ขึ้นมา หัวใจที่มันหงอยเหงานี่ให้ปลุกมันขึ้นมา ปลุกมันสู้ สู้สิ สู้กับสัจจะความจริงสิ เราก็เป็นคนคนหนึ่งไง ดูสิโลกเขา เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เขาเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน เขายังปรารถนาความสุขของเขา เขาพยายามขวนขวายของเขา เขาไม่มีเวลาของเขา เขายังขวนขวายมาอยู่วัดอยู่วาของเขาเพื่อประพฤติปฏิบัติของเขา

ตอนนี้มีการแสวงหาเห็นไหม การปฏิบัติเจริญ แล้วนี้เขาบอกปฏิบัติลัทธินั้น ความเห็นนั้นมันจะปฏิบัติง่ายรู้ง่าย มันไปวิตกวิจารณ์กับเรื่องวิธีการทั้งนั้น แต่หัวใจของตัวไม่มอง มันไม่มองเข้ามาในหัวใจของตัว นี่คนสิ้นท่า คนสิ้นท่าคนที่ไม่มีสติปัญญา ไม่สามารถรักษาตัวเองได้ นี่คนมันสิ้นท่า

นี่เหมือนกัน แต่นี่มันไม่สิ้นท่า นี่ให้คนอื่นเขาหลอก นี่มองแต่กระแสสังคม มองแต่โลกเป็นใหญ่ โลกมันเป็นใหญ่ขึ้นมาได้อย่างไร โลกเห็นไหม โลกเป็นอจินไตย โลกมันมีของมันอยู่อย่างนี้ นี่มนุษย์เกิดมาๆ โลกมีของมันอยู่แล้ว แล้วมนุษย์เกิดมา มนุษย์ที่มีสติปัญญา โลกทัศน์คือโลกใน ถ้าเราสามารถชนะตัวเราเองได้ สามารถชนะโลกในได้นี่ โลกนอกมันจะมีความหมายอะไร

ดูสิ โลกนอกในสภาวะสังคมมันจะเจริญรุ่งเรืองมันจะแปรปรวนขนาดไหน พอแปรปรวนมันยิ่งเกิดสังเวช คนที่มีธรรมในหัวใจมันเห็นแล้วมันเกิดธรรมสังเวช เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราดูแลหัวใจของเราขึ้นมา ดูความเปลี่ยนแปลงของมัน ความเปลี่ยนแปลง เรามีสติปัญญารักษา มีสติปัญญาใคร่ครวญจนเห็นสัจจะความจริง มันก็ซาบซึ้งในใจของมันอยู่แล้ว แล้วพอมาดูถึงความเปลี่ยนแปลงจากภายนอก มันสะเทือนหัวใจๆ นี่ธรรมสังเวช พอมันเกิดธรรมสังเวช มันสังเวชนะ มันสังเวช

เห็นไหม เห็นไหม มันจะเตือนตัวเอง เห็นไหม เห็นไหม นี่ให้ดูไง ให้เราดูให้เราศึกษาไง นี่ความจริงเราก็รู้แจ้ง รู้แจ้งจากหัวใจของเราแล้วนี่ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง มันไม่มีสิ่งใดคงที่หรอก เราก็รู้ๆ อยู่ แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงของมันอยู่ตลอดเวลา วิวัฒนาการของโลกมันมีมาตลอดเวลา ดูสิ สมัยดึกดำบรรพ์ขึ้นมานี่มันมีสิ่งใดอำนวยความสะดวกบ้างล่ะ แม้แต่จะจุดไฟก็ต้องสีด้วยไม้ไผ่เพื่อจะให้เกิดไฟขึ้นมาเพื่อมาใช้สอย ในปัจจุบันนี้มันสะดวกสบายไปหมดเลย สะดวกสบายมันมาจากไหนล่ะ

นี่วิวัฒนาการของมันมี แล้ววิวัฒนาการมันก็จะเจริญก้าวหน้าไปๆ เราก็เลยกลายเป็นคนล้าหลังเลยเห็นไหม พระนี่เป็นคนล้าหลัง พระนี่เป็นลูกตุ้มสังคมถ่วงโลกเลย มันจะทุกข์ยากจนเข็ญใจขนาดไหน มันต้องสีไม้ไผ่เพื่อแสวงหาไฟเพื่อมาใช้ประโยชน์ กับสิ่งที่ว่ามันนี่ไร้รีโหมด ทุกอย่างมันพร้อมอยู่นี่ มันก็มีทุกข์เหมือนกัน ทุกข์สมัยพุทธกาล ทุกข์สมัยปัจจุบันนี้ ทุกข์ในอนาคตมันก็คือทุกข์เหมือนกัน แล้วเวลาจะแก้ทุกข์มันก็เรื่องของอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริง

นี่วิวัฒนาการเห็นไหม ดูสิ เวลาคอมพิวเตอร์มันช้ามันเร็วเห็นไหม นี่ไวไฟมันจะช้ามันจะเร็ว โทรศัพท์มันจะช้าจะเร็ว นี่จะเอาความเร็วๆ มันจะสู้ความคิดคนได้ไหม เราต้องการความเร็วของมันเพื่อเราต้องการความทันใจของเรา แล้วมันทันหัวใจเราไหม หัวใจเรายังไม่ทันเลยเห็นไหม พอหัวใจไม่ทันนี่มันคนสิ้นท่า คนสิ้นท่าคือคนไม่มีสติปัญญา คนสิ้นท่าคือคนไม่มีวุฒิภาวะ ถ้ามีวุฒิภาวะเห็นไหม ดูสิ คนจนตรอก เวลาข้างนอกเราไปหลอกลวงใครไม่ได้ มันก็จะมาหลอกลวงคนในบ้านของตัวเอง นี่เวลาเราหาสิ่งใดไม่ได้ เราก็มาฉกมาลักของในบ้านเราเอง คนสิ้นท่า สิ้นท่ามันไม่มีเครดิตไง ไม่มีความน่าเชื่อถือ แม้แต่สังคมเขาไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับก็กลับมาแสวงหาในครอบครัวของเรา แล้วพอแสวงหาในครอบครัวของเราเห็นไหม

ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ดูสิ ความรู้สึกนึกคิดของเรานี่ คิดในกระแสสังคม นี่ฟังแต่โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นี่ติฉินนินทา ฟังแต่เขาติฉินนินทา ฟังแต่เสียงมารบกวนหัวใจแล้วก็หวั่นไหวไปตลอด นี่สิ้นท่า ไม่มีกำลัง ไม่มีกำลังใจ ไม่มีสติปัญญาได้แยกแยะเลย เสียงสักแต่ว่าเสียง เสียงดีเสียงชั่วมันมีอยู่แล้ว คนโง่หรือคนฉลาด โลกนี้มันมีคนโง่มากกว่าคนฉลาด แล้วเสียงของคนโง่ เสียงของคนเห็นแก่ตัว เสียงของคนที่ชักนำไปในทางที่ผิด แล้วไปเชื่อเขาได้ยังไง

ถ้าเราไม่สิ้นท่ามันจะมีสติปัญญาแยกแยะตั้งแต่ภายนอก ภายนอกยังแยกแยะไม่ได้เห็นไหม สิ้นท่า โดนเขาหลอกโดนเขาลวง โดนเขาพาไปจนมีแต่ความเสียหาย เสร็จแล้วก็มาสิ้นท่าในหัวใจ สิ้นท่าในหัวใจเห็นไหม สติปัญญาก็ไม่มี จิตของเราก็ทุกข์ยากลำบากขนาดนี้ นี่มันสิ้นท่า มันคอตก มันไม่มีอะไรที่จะยืนตัวขึ้นมาได้เลย

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรามีครูบาอาจารย์ เราบวชมาเรามีครูมีอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์เราท่านทำเป็นตัวอย่าง ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ทั้งชีวิตท่านไม่เคยมีความสะดวกสบายทางโลกเลย คำว่า “สะดวกทางโลก” คือความอุดมสมบูรณ์ในปัจจัยเครื่องอาศัย ทำไมท่านอยู่ของท่านด้วยความเป็นสุข ดูสิ หลวงปู่เสาร์ท่านพูดประจำ “ทำให้มันดูมันยังไม่เอาเลย จะไปสอนอะไรมัน” ทำให้ดูนี่คือชีวิตของท่านเป็นแบบอย่าง นั้นทำให้ดู ท่านอยู่ให้ดู

เช้าออกบิณฑบาต บิณฑบาตได้มายังไงก็ฉันอย่างนั้น ท่านปฏิบัติของท่าน ท่านอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติอยู่ในธรรมวินัย นี่ประชาชนเขาศรัทธาทั่วบ้านทั่วเมืองไง ไอ้เรานี่ไปไหนขี่รถ ๕ คัน ๑๐ คันนั่น จะมาเครื่องบินด้วย จะบิณฑบาตขึ้นไปนี่ต้องปูด้วยพรหมนะ เพราะไปถือตัวถือตนอยากให้เขาเคารพนบนอบ แล้วเขาจะเชื่อถืออะไรกับเราล่ะ นี่คนสิ้นท่าไง คนสิ้นท่าอยากจะได้หัวใจคน อยากจะให้คนนับหน้าถือตา อยากให้คนเขายอมรับ แต่พฤติกรรมของมัน มันแตกต่างเห็นไหม เพราะอะไร?

เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทนทุกข์ไง ท่านเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เวลามองทางโลก ท่านเป็นเศษคนเลย แต่ชาวโลกนับถือศรัทธา ชาวโลกเขายอมรับ ไอ้เราอยากได้การยอมรับอย่างนั้น แต่พฤติกรรมของเรานี่มันคนสิ้นท่า จับจด! จับจดเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ แล้วจะให้คนเคารพนับถือ บวชมาโกนหัวบวชมาเป็นพระ พอเป็นพระคิดว่าเป็นพระแล้วทุกคนต้องยอมจำนนกับความเป็นพระนั้น ตัวเองยังไม่ยอมจำนนเลย เพราะว่ามันสิ้นท่ามันไม่มีกิริยาของความเป็นพระ

ถ้ามีกิริยาของความเป็นพระ ตัวอย่างที่ประเสริฐที่สุดคือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทำเป็นตัวอย่าง แล้วทำเป็นตัวอย่างเห็นไหม เวลาเราสิ้นท่า เวลาจิตใจมันน้อยเนื้อต่ำใจ เราคิดถึงตรงนั้นสิ เวลาเราประพฤติปฏิบัตินะ เวลามันทุกข์มันยาก เราบอกว่า “ความทุกข์ความยาก ความที่เราเผชิญทุกข์อยู่นี่ ไม่ได้เศษเสี้ยวขี้เล็บของหลวงปู่มั่น”

ครูบาอาจารย์ของท่าน เวลาท่านบวชปฏิบัติมา ไม่มีใครคิดว่าการประพฤติปฏิบัติมันจะมีคุณธรรม ไม่มีใครคิดว่ามรรคผลมันยังมีอยู่ให้คนแสวงหาได้ แล้วคนที่มาทำอย่างนั้นเห็นไหม ดูสิ เวลาคนตกใจในที่มืด ผีหลอกๆ มันสร้างภาพขึ้นมา ผีตัวใหญ่ๆ เลย นี่ก็เหมือนกัน เห็นพระกรรมฐานแบกกลดแบกบาตรมานี่ ใครจะกล้าเข้าไปอุปัฏฐาก ใครจะกล้าเข้าไปดูแลรักษา แต่ด้วยคุณธรรมของท่าน ท่านไปอยู่ให้เขาเห็น

ดูสิ เวลาอยู่ในที่ทุกข์ที่ยากอย่างนั้นแต่จิตใจท่านชื่นบาน ท่านชื่นบานเพราะอะไร ท่านชื่นบานเพราะมันวิเวกไง กายวิเวก จิตวิเวกไง ความวิเวกความสงบความสงัดมีความสุขไง มีความสุขเห็นไหม บิณฑบาตมา รับอาหารเขาแล้วไม่ให้เขาตามมาจังหัน ไม่ให้เขาตามมา เพราะมันไม่ต้องเสียเวลาปฏิสันถาร ได้สิ่งใดมาพิจารณาปฏิสังขาโยแล้วฉัน ฉันพอดำรงชีวิต ฉันเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตนี้ไว้ทำไม ดำรงชีวิตนี้ไว้ด้วยความชื่นบาน ด้วยความชื่นบาน ด้วยความสงบสงัด ด้วยความวิเวก จิตมันต้องการภาวนา จิตมันอยากวิเวก จิตมันอยากสงบ เห็นไหม มันแสวงหาสิ่งนี้ไง

ท่านบิณฑบาตแล้วท่านฉัน ปฏิสังขาโยฉันแล้วมีความชื่นบาน นี่เข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่เรือนว่าง แล้วใช้สติทำความสงบของใจยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันมีความรื่นเริง มันมีความสุข มันมีความอาจหาญ นั่นไง มันจะด้อยค่าไปไหน มันจะเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง ผ้าขี้ริ้วที่ว่าประชาชนเขาไม่สนใจที่ไหน มันกลับรื่นเริงอาจหาญ คนที่มีคุณธรรมไง ไม่ใช่คนสิ้นท่า คนสิ้นท่าคนที่ไม่มีสติปัญญาหวังแต่ความสะดวกหวังแต่ความสบาย หวังแต่ให้คนเขามานับหน้าถือตาให้คนเขามาอุปัฏฐากอุปถัมภ์ อุปัฏฐากกองขี้ กองขี้มันมีแต่กลิ่นเหม็นใครจะไปอุปัฏฐาก แต่คนที่มีคุณธรรมเขาอยากอุปัฏฐากแต่ท่านหนี

ท่านแสวงหาในความที่สงบสงัดของท่าน ท่านต้องการความวิเวก ถ้ามันวิเวกนะ เพราะคนมีคุณธรรม คนมีธรรมเขาสงบสงัดมาจากภายใน ถ้าเขาสงบสงัดภายใน ภายในมันสงบสงัดแล้วมันมีความสุข มันมีความแสวงหา เขาต้องแสวงหาสิ่งนี้ คือจิตใต้สำนึกของเราเราต้องการสิ่งนี้ เราต้องการความสงบสงัด เราไม่ต้องการความคลุกคลี ถ้าเราไม่ต้องการคลุกคลี เราออกธุดงค์ออกวิเวกกัน เราก็ต้องการความสงบสงัด เราอยู่กับสัจธรรม อยู่กับธรรมชาติเห็นไหม อยู่กับแมกไม้ อยู่กับบรรยากาศที่ดี

แล้วที่ไปธุดงค์เขาไปหาสิ่งนั้น เพียงแต่มีความจำเป็นว่าสิ่งมีชีวิตมันต้องดำรงด้วยปัจจัย ๔ ในเมื่อดำรงด้วยปัจจัย ๔ เห็นไหม เราไม่ใช่ฤๅษีชีไพรถึงได้เก็บใบไม้ฉันกันเองได้ ยกเว้นไว้แต่มีเณรเขาไปด้วยเณรก็แสวงหาให้ได้ เราเป็นนักพรต เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราต้องอาศัยสิ่งดำรงชีวิต เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ที่ไหนมีกระท่อมห้องหอสักหลังสองหลัง เราจะอาศัยสิ่งนั้นเพื่อดำรงชีวิต

เขาไปธุดงค์กันเขาไปแสวงหาสิ่งนี้ไง เขาไปแสวงหาสิ่งนี้ แสวงหาชัยภูมิเพื่อจะค้นคว้าหาใจของตัวไง ถ้าแสวงหาใจของตัว คนที่มีหลักมีเกณฑ์เห็นไหม มันรื่นเริงมันอาจหาญมาตั้งแต่จากภายใน มันไม่ได้ไปหาอำนวยความสะดวก ถ้าอยากจะอำนวยความสะดวกก็ไปธุดงค์ทำไมก็อยู่วัดสิ สั่งอาหารโรงแรมมากินเลย จะเอาอาหารอะไรก็ได้รถมาส่งถึงบันไดเลย แล้วถ้ามันต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนั้นทำไมต้องออกไปวิเวกล่ะ ทำไมออกไปอยู่ป่าล่ะเห็นไหม ก็คนสิ้นท่าไง มันไม่มีอะไรเป็นเครื่องประดับไง มันไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตนไง มันถึงแสวงหาสิ่งนั้นไง

แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านอยู่ป่าโดยสัจจะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ป่าเป็นวัตร เห็นไหม ถึงเวลาท่านออกวิเวกของท่าน จนเวลาเข้าพรรษาท่านก็อยู่เป็นที่เป็นทาง พออยู่เป็นที่เป็นทางด้วยศรัทธาความเชื่อของญาติโยมเขาก็แสวงหาที่ทำบุญของเขา สิ่งนี้มันหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมๆ ท่านเป็นธรรมจากภายในไง เห็นไหม ถ้าเป็นธรรมนี่ทำให้กิเลสมันสิ้นท่า

ไอ้นี่ไม่อย่างนั้น คนสิ้นท่ากิเลสมันขี่หัวอยู่ แต่ด้วยเห็นไหม มุมมองของเราไง หลวงตาท่านบอกว่า “ถ้าเราไม่ติดเรา เราก็ไม่ติดเขา” ถ้าเราไม่ติดเรา ไม่ติดเรา ไม่มีลับลมคมในหัวใจ ทำสิ่งใดมันสะอาดบริสุทธิ์ไปหมด ถ้ามันติดเรา ยังไงๆ เขาก็รู้ เพราะมันติดเราไง ติดเราก็คนสิ้นท่ามันอยากได้อยากดีอยากเด่น อยากทุกๆ อย่าง แล้วพฤติกรรมแสดงออกมามันไม่เป็นความจริง นี่คนสิ้นท่า

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาเห็นไหม เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องของกิเลส มันเรื่องของจริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยของคน มันเป็นคนสิ้นท่าจากภายใน แต่รูปแบบภายนอกเห็นไหม อาศัยสิ่งนั้น หมา มันห่มหนังเสือ มันพยายามบันลือสีหนาทแบบเสือ หมามันจะบันลือสีหนาทแบบเสือได้ยังไง มันเห่าออกมามันก็หมาทั้งนั้น

นี่เหมือนกัน ด้วยความสิ้นท่าจากภายในหัวใจ ถ้ามันแสดงออกมามันก็แสดงออกด้วยความสิ้นท่าอย่างนี้ มันไม่สมจริง มันไม่สมจริงในการออกวิเวก แต่เวลาครูบาอาจารย์เราท่านไม่ออกวิเวก ท่านวิเวกจากภายในของท่าน อยู่ที่ไหนท่านก็วิเวกของท่าน เพราะอะไร เพราะว่าในเมื่อเป็นผู้นำ ถ้าเป็นผู้นำเห็นไหม เวลาธุดงควัตร ภิกษุในวัดในอาวาสถือธุดงค์ได้เว้นไว้แต่หัวหน้า หัวหน้าเขาต้องไว้เวลาปฏิสันถาร สิ่งที่ศรัทธาไทย เห็นไหม ภิกษุทำให้ศรัทธาไทยตกร่วง เวลาเขามีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขามีความมั่นคงของเขา แล้วเราทำให้เขามีความไม่ไว้วางใจ มีการต่อต้านเห็นไหม นี่เป็นอาบัติทั้งนั้น

ฉะนั้น เวลาหัวหน้าต้องมีสติปัญญา ต้องมีสติปัญญาเพื่อรักษาศรัทธาไทย ไม่ทำให้ศรัทธาไทยตกร่วง ศรัทธาคืออะไร ศรัทธาคือความเชื่อ ความเชื่อมันเป็นกระพี้ สิ่งที่ห่อหุ้มต้นไม้ไว้ ต้นไม้ถ้าไม่มีกระพี้ ไม่มีเปลือก มันจะเลี้ยงต้นไม้มันได้ยังไง ศาสนาจะดำรงต่อไปได้เห็นไหม มันต้องมีหลักเกณฑ์ของมัน แต่หลักเกณฑ์อันนี้มันต้องหลักเกณฑ์ตามความเป็นจริงไง ถ้าเป็นกระพี้ ถ้ามันกาฝาก กาฝากมันมาเกาะต้นไม้แล้วดูดกินอาหารสารอาหารจากต้นไม้นั้น มันก็เป็นกาฝากเห็นไหม ถ้าเขาทำทุจริต เขาไม่ได้ศรัทธาด้วยความบริสุทธิ์ของเขา มาอาศัย อย่างนั้นเราก็ต้องตัดพวกกาฝากออกไป เวลาตัดสินใจ เวลาบริหารจัดการมันต้องมีสติปัญญาอย่างนั้น

ถ้าคนจะทำให้กิเลสมันสิ้นท่า ถ้าคนมันจะกำจัดกิเลสให้สิ้นท่านะ ให้กิเลสมันล้ม ให้กิเลสมันสลบไปต่อหน้า ให้กิเลสมันตายต่อหน้าไปเลยเห็นไหม แล้วพลิกศพมันเลยนะ พลิกศพมันว่ามันตายเพราะยังไง ยถาภูตัง เกิดญาณทัสสนะ เกิดญาณหยั่งรู้ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราทำของเราอย่างนี้ ทำความเป็นจริงของเราอย่างนี้ ถ้ากิเลสมันจะสิ้นท่า มันต้องมีสติมีปัญญา แล้วเราต้องมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ

เวลาการประพฤติปฏิบัติของเราเห็นไหม นี่ชัยภูมิ ชัยภูมิในสถานที่ปฏิบัติ ชัยภูมิก็สัปปายะ ๔ แล้วเราแสวงหาสัปปายะ ๔ สัปปายะที่มันเป็นชัยภูมิที่เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นชัยภูมิเราแสวงหาสัปปายะ ๔ เห็นไหม ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ หมู่คณะที่มีความเข้าใจกัน สถานที่เป็นสัปปายะที่มันสงัดมันวิเวกพอสมควร นี่สัปปายะ ๔ นี่เป็นชัยภูมิ

แต่เวลาเอาจริงๆ ขึ้นมาแล้วชัยภูมิมันอยู่ที่ไหน สัปปายะ ๔ มันในป่าในเขาเห็นไหม ดูสิ สัตว์มันก็อยู่ในป่าในเขาทั้งนั้น เวลาสัตว์ที่มันอยู่ในป่าในเขา ดูสิเดี๋ยวนี้ช้างในป่าในเขามันไม่มีอาหารจะกิน มันออกมากินพืชไร่ของชาวบ้านทั้งนั้น ในป่าในเขามันยังไม่มีอาหารจะกินเลย เพราะช้างมันขยายพันธุ์ตลอดไป แต่ป่าเขาชาวบ้านเขารุกจนไม่มีที่ให้อาหารมันพอกินแล้ว

นี่เหมือนกัน เราอยู่ในป่าในเขา สิ่งที่เป็นสัปปายะๆ ที่มันสงัดวิเวก แต่มันสัปปายะ สัตว์มันอยู่ในป่าของมัน แต่นี่ของเราเราเป็นคน เราเป็นพระ เราเป็นนักบวช เราเป็นผู้ที่มีสติปัญญา เราไม่ใช่คนสิ้นท่า แล้วไปอยู่ในป่าในเขา เราอาศัยเป็นชัยภูมิเพื่อจะความสงบสงัดเท่านั้นเอง เพราะเราอยู่วัดอยู่วาเราปฏิบัติแล้วมันคุ้นชิน เราก็หาสถานที่ที่ให้มันตื่นตัว ให้สติมันตื่นตัวให้มันมีปัญญาขึ้นมา ถ้าทำขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามันไม่สิ้นท่า มันทำด้วยมรรคด้วยเหตุด้วยผล มันสมบูรณ์ของมัน มันเป็นประโยชน์กับมันทั้งนั้น

เราไม่ใช่สัตว์ สัตว์มันอยู่ในป่าในเขาของมันเห็นไหม ดูสิ ถ้ามันยังมีอาหารของมันด้วยความอุดมสมบูรณ์ของมัน มันจะเสี่ยงภัยออกมากินพืชไร่ชาวบ้านทำไม ออกมาไปเจอสายไฟที่เขาปล่อยไฟฟ้าไว้มันช็อตจนตาย ช้างโดนไฟช็อตตายประจำเลย เพราะอะไร เพราะเขารักษาผลประโยชน์ของเขา แล้วสัตว์ใหญ่ไม่สามารถทำร้ายมันได้เพราะกฎหมายมันคุ้มครอง แล้วมันมารุกราน มันมาทำพืชไร่ของเขา เขาก็ใช้สายไฟปล่อยไฟไว้ มันมาเกี่ยวพันตัวมันเองช็อตจนตายเลย มันออกมาหาอาหารมันต้องเสี่ยงชีวิตของมัน ถ้าในป่านั้นมันอุดมสมบูรณ์มันไม่ออกมาหรอก มันออกมาเพราะในป่าไม่มีอาหารของมัน

แต่นี่เราอยู่ในวัดในวา เราอยู่ในที่ชุมชน จิตใจมันคลุกคลี มันทำให้กิเลสมันฟู เราก็พยายามหาที่ความสงบสงัด เราไม่ใช่สัตว์ เราเป็นมนุษย์ เป็นสุภาพชน แล้วยังได้มาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว พอเป็นพระขึ้นมาเป็นนักรบ พอนักรบก็ออกหาชัยภูมิ หาสัปปายะ ๔ เขาหาชัยภูมิหาอย่างนั้นเพื่อใช้เร่งความเพียร เร่งความเพียรมา ความเพียรถ้าเราพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาความเพียรมันเกิดขึ้นมามันก็เข้าสู่ใจ นั่นล่ะชัยภูมิแท้ ชัยภูมิแท้มันสัมมาสมาธิ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน นี่ชัยภูมิในการออกรบ

ถ้าใครไม่มีชัยภูมิไม่มีที่ออกรบมันจะรบกับใคร นี่จะทำให้กิเลสสิ้นท่า มันอาศัยศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีศีลมีความปกติของใจ ถ้ามีสมาธิขึ้นมา เราเห็นสถานที่ของเราแล้วเรายกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนานั่นล่ะเกิดสงคราม ถ้าเกิดสงครามขึ้นมาระหว่างกิเลสกับธรรมมันประหัตประหารกัน

กิเลสคือความลุ่มหลง กิเลสคือความคาดหมาย กิเลสคือความหวังว่ามันจะได้มรรคได้ผล กิเลสเห็นไหม ต่อสู้กับธรรม ธรรมคือสัจธรรม คือสัจจะความจริง มันจะเกิดสัจจะความจริงขึ้นมาด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ จิตเวลาภาวนาโดยสามัญสำนึกสบายๆ นี่มันสบายๆ สบายๆ นั่นนะมันกำลังจะตาย เพราะสบายๆ สบายยังไงมันเผลอนั่นน่ะ ว่าสบายๆ เวลามันคิดเวลามันฟุ้งซ่านขึ้นไป เพราะยึดมั่นสิ่งใดมันก็คายแต่ความร้อนให้ มันก็คายพิษใส่หัวใจทั้งนั้น เพราะมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก

ถ้าเรามีสติปัญญาเราใช้กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งๆ นี้ไม่ให้กิเลสตัณหาทะยานอยากมันคายพิษใส่หัวใจไง พอมันคายพิษใส่หัวใจ ศึกษาสิ่งใดว่าสบายๆ สบายเดี๋ยวมันจะตายอยู่นั่นน่ะ ถ้ามันกำหนดพุทโธ มันใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันรักษาของมันไว้นะ จิตมันรักษามันไว้ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีคำบริกรรม จิตมันเกาะมันไว้ จิตเกาะมันไว้เห็นไหม มันจะทำอะไรนั่นน่ะ มันจะทำให้กิเลสสิ้นท่าไง

ถ้ากิเลสจะสิ้นท่ามันต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเกิดมรรคมรรคขึ้นมา มันเกิดกิจจะ มันเกิดการกระทำ จิตใจมันมีการกระทำด้วยความเป็นจริง มันไม่ใช่คนสิ้นท่า ไม่ใช่คนสิ้นท่าเพราะอะไร ไม่ใช่คนสิ้นท่าเพราะมันมีการกระทำไง เราทำมากับมือ ของเราทำเอง ของทุกอย่างที่เราทำเองได้ เราต้องไปซื้อแสวงหามาจากใคร ของที่ทำได้เอง ของเราทำได้ทุกๆ อย่างเลย

ดูสิ บริขารเห็นไหม เราตัดก็ได้ เย็บก็ได้ ย้อมก็ได้ เราจะไปซื้อจากใคร บอกไม่มีผ้า ไม่มีผ้า ดูสิกองเป็นภูเขานู่นน่ะ ถ้ามันไม่มีผ้ามีผ่อนขึ้นมา เราตัดเอง ย้อมเอง เย็บเอง แล้วเราจะต้องไปแสวงหาเอาจากใคร แล้วใครจะบอกว่าจีวรชนิดนั้นเป็นอย่างนั้น ชนิดนี้เป็นอย่างนั้น เขาพูดแต่ปาก เราตัดด้วยมือ เราเย็บด้วยจักรของเราเอง เราทำของเราเอง มันจะสิ้นท่าไปไหน

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาเรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมาเป็นความจริง มันทำมากับมือ กิจจญาณมันเกิดขึ้น มันเป็นจริง อย่างนี้กิเลสจะสิ้นท่า สิ้นท่าเพราะอะไร เพราะว่าถ้ามันเกิดสัจจะเกิดความจริงขึ้นมากิเลสมันสู้ไม่ได้ ระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กัน กิเลสมันสู้ไม่ได้ กิเลสมันไม่กลัวสิ่งใด มันกลัวธรรมะ กลัวศีล สมาธิ ปัญญา กลัวความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ

มันยิ้มเยาะ มันหัวเราะเยาะเลย ไอ้พวกดีแต่ปาก ไอ้พวกดีแต่ปากเห็นไหม นั่นล่ะมันคนสิ้นท่า คนสิ้นท่าคนไม่มีความจริงในใจ คนไม่มีสิ่งใดเป็นเหตุเป็นผลในใจเลย อาศัยศาสนานี้ อาศัยชื่อเสียงครูบาอาจารย์นี้ อาศัยสิ่งนั้นว่าเราเคยได้กลิ่นนี้มา เราเคยได้เฉียดเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เราเคยได้กลิ่นนั้นมา แล้วเอากลิ่นนั้นเห็นไหม เอาไปแสวงหากินไง

เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปช้างมันไม่มีอาหารจะกิน มันต้องออกมาหาอาหารข้างนอก เราเข้าป่าไปเราเข้าป่าไปด้วยสติด้วยปัญญา อาศัยสิ่งนั้นเป็นที่สงัดวิเวก อาศัยสิ่งนั้นเพื่อค้นหาใจของเรา สิ่งที่มีค่าที่สุด สิ่งที่มีค่าที่สุดน่ะคุณธรรม สิ่งที่เป็นคุณธรรมที่มันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา ถ้าใจมันเกิดขึ้นมาจากที่นี่เห็นไหม นี่เกิดที่นี่มันก็เกิดความสุขไง เกิดคุณธรรม ถ้าเกิดสมาธิมันจะเกิดความสุขๆ เกิดความสงบ เกิดความระงับ มันไม่เอารัดเอาเปรียบแม้แต่ตัวเอง

การเอารัดเอาเปรียบตัวเอง หมายถึงว่า ข้อวัตรปฏิบัตินี่ถ้าเราทำตามความเป็นจริง เห็นไหม มันอบอุ่น มันสะดวก มันวางใจได้ แต่ถ้าเราทำสิ่งใดด้วยเล่ห์กล เราวางใจตัวเราได้ไหม ด้วยเล่ห์กล ด้วยการเอาตัวรอด เราจะระแวงทันทีเลยว่าสิ่งที่ด้วยเล่ห์กลของเราใครจะรู้เท่าไหม ใครจะรู้ทันไหมว่าสิ่งที่เราปกปิดไว้มันจะเปิดเผยออกมา ด้วยเล่ห์กลไง เราทำด้วยด้วยเล่ห์ด้วยกลนะ เราไม่สบายใจหรอก เพราะนี่ไง ความสิ้นท่ามันสิ้นท่าอย่างนี้ไง สิ้นท่าเพราะเราอ่อนแอ เราอ่อนแอกับอารมณ์ความรู้สึกของเรา เราอ่อนแอกับกิเลสที่มันข่มขี่หัวใจ

ถ้ามันคนสิ้นท่ากิเลสมันข่มขี่ แล้วข่มขี่นะ แล้วแสดงออกด้วยกรรมฐานนะ แสดงออกด้วยพระกรรมฐาน พระป่า พระนักรบนักปฏิบัตินะ แต่การแสดงออกนั้นเป็นการแสดงออกโดยคนสิ้นท่า คนสิ้นท่าไร้ราคามันแสดงออกมา ดูสิ เวลานักกีฬาเห็นไหม มวยที่ไร้ราคาขึ้นไปไม่มีราคาเลย เวลาเขาเล่นกันไม่มีราคาเลย ขึ้นมาเพื่อแพ้ ขึ้นมาเพื่อรับทรัพย์ มันไม่มีสิ่งใดเลย

แต่ถ้ามีราคาเห็นไหม คนมีราคา โอ้ย มันเรียกร้องมวลชนนะ ทุกคนศรัทธา เวลานักมวยคนนี้ขึ้นชกหยุดโลกเลย โลกนี้หยุดหมดเพื่อดูมวยคู่นี้เขาชกกัน เขาสมราคา เขามีราคาเขาไม่ใช่คนสิ้นท่า เราปฏิบัติกันเราไม่ใช่คนสิ้นท่า เราเป็นมนุษย์ เรามีสติมีปัญญา เราอยากได้สัจจะอยากได้ความจริง ถ้าอยากได้ความจริงแล้วความจริงมาจากไหน กาลามสูตรไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา อาจารย์ของเราที่พูดนี่ไม่เชื่อๆ ต้องพิสูจน์ขึ้นมา เข้าทางจงกรมนั้นน่ะ ทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนา พิสูจน์ขึ้นมาให้ในใจอันนั้น

ถ้าในใจอันนั้นเห็นไหม ดูสิ ถ้าใจมันเป็นจริงขึ้นมา เราฟังได้เลยว่าคนที่แสดงออกมา มันมีจริงหรือไม่มีจริง ถ้าไม่มีจริงมันพูดคลาดเคลื่อนกับความเป็นจริงตลอด คนไม่มีอยู่จริงพูดความจริงไม่ได้ คนไม่มีความจริงพูดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง สมาธิก็พูดข้างๆ เคียงๆ ไม่เป็นสมาธิสักที ถ้าเป็นปัญญาก็เป็นสัญญาทั้งหมดไม่มีความจริง ถ้าความจริง ความจริงมันสมดุลกัน ความจริงคือความจริง มันยืนยันจากสัจจะความจริงอันนั้น

ถ้ายืนยันจากสัจจะความจริงอันนั้นเห็นไหม นี่กิเลสจะสิ้นท่า กิเลสสิ้นท่านะ คนคนนั้นจะเป็นสัตบุรุษขึ้นมา จะเป็นบุรุษอาชาไนย สัตว์อาชาไนยมันกินยอดหญ้า มันกินแต่น้ำค้างที่สะอาด มันเป็นสัตว์อาชาไนยไง นี่ก็เหมือนกัน เราจะเป็นสัตว์อาชาไนยไหม เราจะเป็นสัตว์ฝูงใช่ไหม ดูสิ เวลาหน้าแล้งขึ้นมาไม่มีจะกินเขาต้องกินฟาง เขาหาฟางข้าว น้ำท่วมขึ้นมา กระทรวงเกษตรเขาหาอาหารแห้งไปให้สัตว์ เลี้ยงสัตว์ ปศุสัตว์มันจะตายห่าหมดน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เราต้องพิสูจน์ขึ้นมาเป็นจริงสิ ถ้าเป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม เราจะเอากิเลสสิ้นท่า ถ้ากิเลสสิ้นท่ามันต้องมีสติมีปัญญา แล้วพยายามแสวงหา การที่แสวงหาเห็นไหม ไฟเกิดที่ไหนเขาต้องดับที่นั่น แต่ถ้าไฟมันเกิดที่ไหนเขาไม่มีปัญญาจะดับ ไฟนั้นมันจะแผดเผาจนหมดเชื้อแล้วไฟจะดับไปเอง ชีวิตเกิดขึ้นมา เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ชีวิตเห็นไหม เราอยู่ท่ามกลางเพลิง ท่ามกลางไฟแผดเผา ท่ามกลางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วชีวิตนี้ก็ต้องดับไป

ไฟเกิดที่ไหน ไฟเกิดที่ใจ เห็นไหม ไฟเกิดที่ใจ มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ใจเป็นผู้รู้ ใจเป็นผู้เห็น ใจเป็นผู้เกิด ใจเป็นผู้ทุกข์ผู้ยาก ไฟเกิดที่ไหนต้องดับที่นั่น ถ้าไฟเกิดที่ไหนต้องดับที่นั่นเห็นไหม เราจะต้องมีสติมีปัญญา เรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ นี้คือคำบริกรรม เราจะดับไฟๆ ดับไฟในหัวใจของเรา ถ้าเราดับไฟที่นี่เห็นไหม เราดับไฟของเราได้ ยกขึ้นสู่วิปัสสนา เวลาชำระล้างกิเลสมันสำรอกมันคายมันออก มันดับไฟไปแล้วนะ ไฟมันดับไปแล้ว ไฟมันเกิดขึ้นแล้วเรามีความสามารถดับไฟเรา ไฟมันดับแล้วมันเหลือใครไว้นั่น มันเหลือเราผู้ดับไฟ

แต่เวลาชีวิตของเราเห็นไหม เกิดมาๆ ท่ามกลางไฟ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาตายเป็นที่สุด ไฟมันเผาเราจนเราตาย ตายไปแล้วนึกว่าจะจบมันไปเกิดอีกแล้ว มันจะไปเกิดไฟกองใหม่ มันจะเผามันไปเรื่อยๆ แต่ในปัจจุบันนี้ไฟมันเกิดขึ้นมา ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันเกิดขึ้นมาจากใจทั้งนั้น แล้วเรามีสติมีปัญญา เราจะพยายามจะประพฤติปฏิบัตินะ เราจะพยายามสร้างมรรคสร้างผลขึ้นมานะ เพื่อจะดับไฟในใจของเราเห็นไหม ดับไฟในใจของเราถอนพิษถอนไข้ออกมา

ถ้าดับไฟแล้ว ไฟมันดับไปแล้วมันเหลืออะไร ดับที่ไหน เวลาดับไฟดับไฟท่ามกลางหัวใจ เวลาไฟมันดับไปแล้ว ใครยืนเด่นอยู่นั่นน่ะ ใครมันยืนเด่นอยู่บนนั้น หัวใจที่มันเด่นอยู่นี่ ใครเป็นเด่นอยู่นี่ เวลาภาวนาไปมันจะรู้เห็นของมันอย่างนี้ ถ้ารู้ความจริงขึ้นมาเพราะเราทำมากับมือ ของเราทำมาเองๆ ทำไมมันจะพูดไม่ได้ มันพูดได้ทั้งนั้น แต่ในสังคมนักปฏิบัติมันก็รู้กันเอง รู้กันอยู่แล้วว่าใครปฏิบัติแบบสิ้นท่า แบบสิ้นท่าคือแบบมารยาสาไถยหลอกลวงโลกไง

คนสิ้นท่าเห็นไหม มีแต่รูปแบบ ถ้าที่ไหนมีสัจจะมีความจริง มันก็มีของเทียมของเลียนแบบ ครูบาอาจารย์ของเราหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านทำความจริงขึ้นมาจนสังคมยอมรับ มันก็มีคนที่เลียนแบบ อยากเลียนแบบ อยากเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาก เราก็ไม่ใช่อิจฉาตาร้อนใคร เพราะเราเกิดไม่ทันหลวงปู่มั่น เราจะอ้างว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นไม่ได้ เพราะเราเกิดไม่ทันหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นตายก่อนที่เราจะเกิดอีก ทุกคนอยากเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาก แต่เวลาเราพูด ไม่ต้องการเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นแล้วพูดถึงหลวงปู่มั่นทุกวันเลย พูดเพราะเคารพบูชาท่านไง พูดเพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านทำร่องทำรอยเอาไว้นี่ไง

แล้วเราเกิดมาเห็นไหม เราเกิดมาเราก็เห็นทุกข์ในโลกเราถึงมาบวช พอบวชขึ้นมาแล้วมันมีร่องมีรอยให้ปฏิบัติ มันเห็นคุณค่าไง มันเห็นคุณค่าคนที่ได้ทำแนวทางอันนี้ไว้ คนที่ได้ทำทางอันนี้ให้เราก้าวเดิน แล้วขนาดมีทางก้าวเดินไปมันยังโดนเขาหลอกเลย ไอ้พวกสิ้นท่ามันมาเกาะอยู่ข้างทางแล้วบอกทางของมันดี ทางของมันดี ทั้งๆ ที่เป็นทางหลวงปู่มั่นไม่ใช่ทางของมัน แล้วเราก็โดนหลอกมาพอแรงแล้ว บวชมาใหม่ๆ มีแต่คนชักนำทั้งนั้น ทางนี้มันกลางแดดกลางฝนมันร้อน มานี่ มานี่ มานี่ ข้างทางมีร่มไม้ มานี่ มานี่ มานี่ โดนหลอกมาเยอะ ไอ้พวกสิ้นท่ามันมาอาศัยหลอกลวง

แต่เรามีสัจจะมีความจริง เราจะชำระล้างกิเลส เราพยายามจะกำราบให้กิเลสของเราให้สิ้นท่า กิเลสของใครกิเลสของเขา คนเรามีจริตนิสัย มีความรู้สึกนึกคิด มีความชอบแตกต่างกันไป แต่ถ้าเขาชอบอย่างนั้นเห็นไหม ชอบอย่างนั้น แต่ถ้าเขาจะทำจริง เขาจะปฏิบัติจริง เขาก็ต้องพยายามละความชอบอันนั้น เขาพยายามถอดถอนอันนั้นได้ นั่นเป็นการแก้กิเลสของเขา

แต่ถ้าเป็นของเราล่ะ เราชอบสิ่งใด เราแสวงหาสิ่งใด ถ้าจิตใจเรายังไม่สงบขึ้นมาเราก็ไม่รู้สิ่งใดดีและสิ่งใดไม่ดี เห็นไหม สิ่งที่ชอบก็ส่วนสิ่งที่ชอบ ชอบเพราะมันตรงกับจริต แต่ว่าตรงกับจริตมันไม่ใช่มรรค แต่ว่าความเป็นมรรคเห็นไหม เราพยายามทำจิตของเราให้สงบเข้ามาให้ได้ แล้วถ้ามันเกิดมรรคขึ้นมาจะเป็นเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติ จะเป็นแนวทางใดแล้วแต่ที่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ในอำนาจวาสนาของเรา มันก็ลงสู่อริยสัจเหมือนกัน

มันจะลงสู่อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ มันต้องเกิดโดยสัจจะ เกิดโดยกิจจญาณ สัจจญาณเหมือนกัน กิจจญาณ สัจจญาณ คิดดูสิมันจะมาแนวทางไหนก็แล้วแต่มันจะลงสู่สัจจะ ลงสู่กิจจญาณ สัจจญาณ แล้วคนที่มีสัจจญาณ กิจจญาณที่เขาคุยกันทำไมเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง มันต้องรู้สิ สัจจะมันคุยได้ อริยสัจจะเขาตรวจสอบกันได้ ถ้าตรวจสอบกันได้ เวลาสัจจะเป็นจริงๆ เห็นไหม ฉะนั้นคนที่ไม่เคยปฏิบัติคนที่ไม่รู้จริงพูดยังไงก็ผิด ผิดเพราะอะไร เพราะมันไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีมัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลของธรรมไม่มี ถ้าปัญญาก็ปัญญาความจำซะ ถ้าเป็นสมาธิก็เผอเรอไปซะ มันไม่มีอะไรอยู่จริงเลย แต่ถ้าเป็นความจริงๆ เห็นไหม เราจะทำให้กิเลสสิ้นท่า

ฉะนั้นสิ่งใดก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้น มันเป็นคติเป็นแนวทางให้เราเอามาเป็นแนวทางปฏิบัติไง เอามาเตือนตัวเอง เราจะคิดอย่างนั้นไหม กิเลสที่มันจะยุแหย่ในใจเราเป็นอย่างนั้นไหม ถ้ามันยุแหย่เห็นไหม ถ้าเราเชื่อมันไปเราพลาดแล้ว เราพลาดแล้ว เราเสียโอกาสแล้ว เราได้สร้างเวรสร้างกรรมแล้ว กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การกระทำทั้งหมดมีเวรมีกรรมทั้งนั้น กรรมดี กรรมดีก็ผลประโยชน์ความดีกับเรา เราสร้างคุณงามความดี สร้างกรรมดี เกิดอำนาจวาสนาบารมี การประพฤติปฏิบัติมันก็สะดวกขึ้น เราสร้างกรรมชั่ว จะรู้ว่าดีหรือชั่วโดยกิเลสปิดตา อ้างว่าดีแต่มันเป็นความชั่ว ความชั่วนั้นมันแผดเผา มันจะให้เวรให้กรรมแน่นอน

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราถึงทำกรรมดีกัน นั่งสมาธิภาวนานี่เราไม่ได้เบียดเบียนใครเลย เบียดเบียนแต่กิเลสที่มันเจ็บปวดในหัวใจ เวลานั่งสมาธิหลายๆ ชั่วโมงขึ้นไปเห็นไหม มันจะเบียดเบียนกิเลสไม่เบียดเบียนใครเลย ในกิเลสมันจะดิ้นรนของมันเห็นไหม กรรมดีของเราไง เราสร้างกรรมดีทำไมมันเจ็บปวดล่ะ ทำไมเวทนาล่ะ นั่งไปแล้วมันเจ็บมันปวด กรรมดีทำไมมันเจ็บปวดอย่างนี้

เราจะเบียดเบียนมันไง เราจะทำให้มันสิ้นท่าไง เราจะทำให้กิเลสสิ้นท่า ทำให้หัวใจเบิกบานไง ทำให้จิตใจมันผ่องแผ้วขึ้นมาไง นี่ไงทำมากับมือไง ก็มือทำมาอย่างนี้ มันจะได้สัจธรรมอย่างนี้ นี่ทำเพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นคติเป็นตัวอย่าง ดูไว้เป็นตัวอย่างทั้งนั้นน่ะ แล้วเราย้อนกลับมาที่เรา เราจะทำอย่างนั้นไหม เห็นเขาทำอย่างนั้น เราจะทำอย่างนั้น เราจะทำคุณงามความดีไง

หลวงตาท่านสอนประจำ “ใครเขาจะทำยังไงเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ เราจะทำคุณงามความดีว่ะ” ทำคุณงามความดีแล้วคนที่เขาไม่เห็นด้วย คนที่เขาเห็นโอกาสในการตักตวง เขาจะบอกว่าคนโง่ คนไม่มีปัญญา เราจะทำคุณงามความดีมันไปขัดแย้งกับคนสิ้นท่าที่จะหาแต่ผลประโยชน์ เราเป็นคนดีเห็นไหม คนดีทำเพื่อสาธารณะ ทำเพื่อประโยชน์ ทำเพื่อสังคม เพราะถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุขเราก็มีความร่มเย็นเป็นสุขไปด้วย ถ้าเขามีความร่มเย็นเป็นสุข ในการภาวนาของเราก็ปลอดโปร่ง เราหวังตรงนี้ไง หวังให้หัวใจปลอดโปร่ง หวังให้หัวใจเรามันเบิกบาน เพราะเราทำตรงนั้น

สัตว์ป่าอยู่ในป่ามันไม่มีจะกินนะ มันยังต้องออกมากินพืชไร่ชาวบ้านนะ เราเนี่ยเราเข้าป่าเข้าเขาเราเพื่อไปอาศัย เราเป็นมนุษย์ เป็นพระ เราอาศัยวิเวก อาศัยเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อให้ความเพียรเราได้เปลี่ยนบรรยากาศ ได้การกระทำ ได้ลุกไล่เข้าไปสู่ใจของตัว เพื่อพยายามชำระล้างกิเลส เพื่อกำจัดขอบเขตของกิเลส เราจะขีดวงมันแล้วพยายามจะจับมัน วิปัสสนามัน ทำลายมัน เราจะทำให้กิเลสสิ้นท่า ให้จิตใจเบิกบาน จิตใจผ่องแผ้วเพื่อเป็นคติธรรม เป็นสมบัติของเรา เป็นอัตตัตถสมบัติของนักบวชเรา เอวัง

⨸穬่耀